ความยาวพันธะและพลังงานพันธะ (Bond Length and Bond Energy)

Bond Length and Bond Energy

ความยาวพันธะ (Bond Length) หมายถึง  ระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมคู่หนึ่งๆ ที่สร้างพันธะกันในโมเลกุล

Screenshot (158)

พลังงานพันธะ (Bond Energy) คือ พลังงานที่น้อยที่สุดที่ต้องใช้เพื่อสลายพันธะระหว่างอะตอมภายในโมเลกุลในสถานะแก๊ส ให้เป็นอะตอมเดี่ยวในสถานะแก๊ส

Screenshot (159)

Screenshot (160)

Screenshot (161)

ความสัมพันธ์ระหว่างความยาวพันธะกับพลังงานพันธะ

สำหรับธาตุคู่เดียวกัน ยิ่งความยาวพันธะมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีพลังงานพันธะน้อยลงเท่านั้น  ดังนั้น

ความยาวพันธะ  : พันธะเดี่ยว  >     พันธะคู่   >    พันธะสาม

พลังงานพันธะ   : ันสาม  >     พันธะคู่   พันธะเดี่ยว

นอกจากนี้ พลังงานพันธะยังมีส่วนสัมพันธ์กับความแข็งแรงของพันธะด้วยโดยที่พลังงานพันธะมากจะแข็งแรงมาก นั่นคือ

ความแข็งแรง :   พันธะสาม   พันธะคู่  >   พันธะเดี่ยว

Screenshot (163)

ตัวอย่างตารางพลังงานพันธะ

ตารางพันธะ

สรุปสมบัติของธาตุตามหมู่และตามคาบ

สรุป เนื้อหา “ตารางธาตุ” และ “สมบัติของธาตุบางประการตามหมู่และตามคาบ” ดังนี้ อิอิส่วนที่ 1 ตารางธาตุ ก่อนจะเป็นตารางธาตุ
  • ปี พ.ศ. 2360 โยฮันน์ เดอเบอไรเนอร์ เป็นนักเคมีคนแรกที่พยายามจัดธาตุเป็นกลุ่มๆ ละ 3 ธาตุ ตามสมบัติที่คล้ายคลึงกันเรียกว่า “ชุดสาม” โดยพบว่าธาตุกลางจะมีมวลอะตอมเป็นค่าเฉลี่ยของมวลอะตอมของอีกสองธาตุที่เหลือ เช่น Na เป็นธาตุกลางระหว่าง Li กับ K มีมวลอะตอม 23 ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยนของมวลอะตอมของธาตุ Li ซึ่งมีมวล 7 กับธาตุ K ซึ่งมีมวลอะตอม 39 ดังรูป
ธาตุชุดสาม (ตัวอย่าง)
ธาตุชุดสาม (ตัวอย่าง)

หลักการนี้ใช้ไม่ได้กับธาตุบางชนิด ชุดสามของกลุ่มธาตุบางชนิด ธาตุตรงกลาง มีมวลอะตอมไม่เท่ากับค่าเฉลี่ยของธาตุที่เหลือทั้ง 2

  • ปี พ.ศ. 2407 จอห์น นิวแลนด์ ได้เสนอกฎในการจัดเรียงธาตุเป็นหมวดหมู่ว่า “ถ้าเรียงธาตุตามมวลอะตอมจากน้อยไปหามากพบว่าธาตุที่ 8 จะมีสมบัติเหมือนกับธาตุที่ 1 เสมอ” (ไม่รวมธาตุไฮโดรเจนและแก๊สเฉื่อย)
ธาตุที่ 8 จะมีสมบัติเหมือนกับธาตุที่ 1 เสมอ
ธาตุที่ 8 จะมีสมบัติเหมือนกับธาตุที่ 1 เสมอ
  • ปี พ.ศ. 2412 ยูลิอุสโลทาร์ ไมเออร์ และ ดิมิทรี อิวาโนวิช เมนเดเลเอฟ ได้จัดธาตุโดยเรียงตามมวลอะตอมจากน้อยไปมากโดยพบว่าธาตุมีสมบัติคล้ายกันเป็นช่วงๆ เมนเดเลเอฟจึงตั้งกฎที่เรียกว่า กฏพิริออดิก และเรียกตารางธาตุว่า ตารางพิริออดิกของเมนเดเลเอฟ
ตารางธาตุของเมนเดเลเอฟ
ตารางธาตุของเมนเดเลเอฟ
  • ต่อมา เฮนรี โมสลีย์ ได้เสนอให้จัดเรียงธาตุตามเลขอะตอม เนื่องจากสมบัติต่างๆ ของธาตุมีความสัมพันธ์กับประจุบวกในนิวเคลียสหรือเลขอะตอมมากกว่ามวลอะตอม ดังนั้น ตารางธาตุปัจจุบันจึงจัดเรียงตามเลขอะตอมจากน้อยไปมาก
ตารางธาตุปัจจุบัน เรียงตามเลขออะตอมจากน้อยไปมาก
ตารางธาตุปัจจุบัน เรียงตามเลขออะตอมจากน้อยไปมาก

สรุปเกี่ยวกับตารางธาตุ แบ่งธาตุในแนวตั้ง (หมู่) แบ่งออกเป็น 18 แถว โดยธาตุทั้งหมด 18 แถว แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

– กลุ่ม A  มี  8  หมู่ คือ  IA  ถึง VIIIA

– กลุ่ม B  มี  8  หมู่ คือ  IB  ถึง VIIIB  เรียกว่า ธาตุแทรนซิชัน (Transition)

โดย

  • ธาตุหมู่ที่ IA  เรียกว่า “โลหะแอลคาไลน์”  ได้แก่   Li   Na   K   Rb  Cs  และ  Fr
  • ธาตุหมู่ที่ IIA  เรียกว่า  “ โลหะอัลคาไลน์ เอิร์ท”  ได้แก่  Be  Mg  Ca  Sr  Ba และ  Ra
  • ธาตุหมู่ที่  VIIA  เรียกว่า “ธาตุเฮโลเจน (Halogen)” ได้แก่   F , Cl , Br , I  และ  At
  • ธาตุหมู่ที่ VIIIA  เรียกว่า “ก๊าซเฉื่อย (Inert gas or Noble gas)” ได้แก่   He , Ne , Ar , Kr , Xe  และ  Rn

ตารางธาตุในแนวนอนเรียกว่า “คาบ”  แบ่งได้  7  คาบ

  • คาบที่ 6 แบ่งธาตุเป็น 2 กลุ่ม

– กลุ่มแรกมี 18 ธาตุ คือ Cs ถึง Rn

– กลุ่มที่สองมี 14 ธาตุ คือ Ce ถึง Lu เรียกกลุ่มนี้ว่าLantanides

  • คาบที่ 7 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม

– กลุ่มแรกเริ่มจาก Fr เป็นต้นไปและมีการค้นพบเกิดขึ้นตลอดเวลา

– กลุ่มสองมี 14 ธาตุคือ Th ถึง Lr เรียงกลุ่มนี้ว่า Actinides

“หมู่เดียวกัน จะมีจำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากัน ซึ่งเท่ากับ เลขประจำหมู่”
“คาบเดียวกัน จะมีจำนวนระดับพลังงานเท่ากัน ซึ่งเท่ากับ เลขที่คาบ”

กลุ่ม s, p, d และ f-block สามารถจัดกลุ่มได้ดังรูป

ธาตุในกลุ่ม s, p, d, และ f-block
ธาตุในกลุ่ม s, p, d, และ f-block

การตั้งชื่อธาตุที่ค้นพบใหม่ ตั้งตามระบบ IUPAC (InternationalUnion of Pure and  Applied  Chemistry)

  • ใช้กับธาตุที่มีเลขอะตอมตั้งแต่ 100 ขึ้นไป
  • ให้ตั้งชื่อธาตุโดยระบุเลขอะตอมเป็น ภาษาละติน แล้วลงท้ายด้วยium

ระบบการนับเลขในภาษาละติน

0  นิล (nil)

1  อูน (un

2  ไบ (bi)

3  ไตร  (tri) ควอด (quad) เพนท์ (pent) เฮกซ์  (hex) เซปท์  (sept) ออกต์ (oct) เอนน์ (enn) ตัวอย่างการเรียกชื่อ

  • ธาตุที่  104  ตามระบบ IUPAC อ่านว่า

Unn+nil+quad+ium  =   Unnilquadium

  • ธาตุที่  105  อ่านว่า

Unn+nil+pent+ium  =   Unnilpentium

ส่วนที่ 2 สมบัติของธาตุตามหมู่และตามคาบ

1. ขนาดอะตอม

การบอกขนาดอะตอมจะบอกโดยใช้รัศมีอะตอม ซึ่งมีค่าเท่ากับครึ่งหนึ่งของระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมทั้งสองที่มีแรงยึดเหนี่ยวอะตอมไว้ด้วยกันหรือที่อยู่ชิดกัน รัศมีอะตอมมีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดของแรงที่ยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอม

รัศมีโคเวเลนต์ คือ ระยะทางครึ่งหนึ่งของความยาวพันธะโคเวเลนต์ระหว่างอะตอมชนิดเดียวกัน

ตัวอย่างรัศมีโคเวเลนต์

รัศมีแวนเดอร์วาลล์ คือระยะทางครึ่งหนึ่งของระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมที่อยู่ใกล้ที่สุด

ตัวอย่างรัศมีแวนเดอร์วาลล์

รัศมีโลหะ คือ ระยะทางครึ่งหนึ่งของระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมโลหะที่อยู่ใกล้กันมากที่สุด

ตัวอย่างรัศมีโลหะ
ตัวอย่างรัศมีโลหะ

แนวโน้มขนาดอะตอมในตารางธาตุ

แนวโน้มขนาดอะตอมในตารางธาตุ
แนวโน้มขนาดอะตอมในตารางธาตุ

2. รัศมีไอออน

ไอออน  คือ อะตอมของธาตุ  หรือกลุ่มอะตอมของธาตุที่มีประจุ  คือ ไอออนทุกชนิดจะต้องมีจำนวนโปรตอนไม่เท่ากับอิเล็กตรอนถ้าจำนวนโปรตอนมากกว่าอิเล็กตรอนเป็นไอออนบวก  และถ้ามีจำนวนโปรตอนน้อยกว่าอิเล็กตรอนเป็นไอออนลบ

การบอกขนาดไอออนทำได้เช่นเดียวกับการบอกขนาดอะตอม ซึ่งพิจารณาจากระยะห่างระหว่างนิวเคลียสของไอออนคู่หนึ่งๆ ที่มีแรงยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกันในโครงผลึก

ตัวอย่างรัศมีไอออน

แนวโน้มของขนาดไอออนในตารางธาตุ

แนวโน้มขนาดไอออน
แนวโน้มขนาดไอออน

สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Link: รัศมีไอออน

3. พลังงานไออนไนเซชัน (Ionization Energy; IE)

คือ พลังงานจำนวนน้อยที่สุดที่ใช้ดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอมของธาตุที่เป็นแก๊สครั้งละ 1 อิเล็กตรอนทำให้กลายเป็นไอออนบวกที่เป็นแก๊ส

สามารถเขียนสมการได้ดังนี้

X(g)  +  IE  —->  X+  (g)  +  e

ตัวอย่าง ค่า IEถึง IEของ Li

Li(g) Li+(g) + e               IE1 = 520 kJ/mol

Li+(g) Li2+(g) + e            IE2 = 7,394 kJ/mol

Li2+(g) Li3+(g) + e           IE3 = 11,815 kJ/mol

ตัวอย่างกราฟไอออนไนเซชัน
แนวโน้มค่า IE 
แนวโน้มค่า IE ในตารางธาต
แนวโน้มค่า IE ในตารางธาต

สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Link: IE หรือ IE (2)

4. อิเล็กโตรเนกาติวิตี (Electronegativity; EN)

คือ  ค่าที่แสดงความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนเข้าหาตัวเองของอะตอมของธาตุ  ในพันธะเคมีหนึ่ง  อะตอมที่มีค่า EN สูงจะดึงดูดอิเล็กตรอนได้ดีกว่าอะตอมที่มี  EN ต่ำ

แนวโน้มค่า EN ในตารางธาตุ
แนวโน้มค่า EN ในตารางธาตุ

ลักษณะทั่วไป

  • โลหะทั่วไปมีค่า EN ต่ำกว่า จึงเสียอิเล็กตรอนได้ง่ายกว่าเกิดไอออนบวก อโลหะทั่วไปมีค่า EN สูง จึงชิงอิเล็กตรอนได้ดีเกิดไอออนลบ ธาตุเฉื่อยไม่มีค่า EN
  • ค่า EN ขึ้นอยู่กับ

ก. ขนาดอะตอม หรือจำนวนระดับพลังงาน

ข. ถ้าอะตอมที่มีจำนวนระดับพลังงานเท่ากัน ค่า EN ขึ้นอยู่กับจำนวนโปรตอนในนิวเคลียสเป็นเกณฑ์

5. สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน (Electron Affinity; EA)

 สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน คือ พลังงาน ที่อะตอมในสถานะแก๊ส คายออกมา เมื่อได้ รับอิเล็กตรอน

แนวโน้มค่า EA
แนวโน้มค่า EA

Screenshot (130)

6. จุดเดือดและจุดหลอมเหลว

แนวโน้มจุดเดือดและจุดหลอมเหลว ตามหมู่

  • หมู่ IA IIA และ IIIA ลดลงจากบนลงล่าง (ลดตามเลขอะตอมที่เพิ่มขึ้น)
  • หมู่ VA VIA VIIA และ VIIIA เพิ่มขึ้นจากบนลงล่าง (เพิ่มตามเลขอะตอม)
  • หมู่ IVA มีแนวโน้มที่ไม่แน่นอน

ตามคาบ

  • หมู่ IA IIA IIIA และ IVA แนวโน้มสูงขึ้น
  • หมู่ IVA มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูงที่สุด เพราะบางธาตุมีโครงสร้างเป็นผลึกร่างตาข่าย
  • หมู่ VA VIA VIIA และ VIIIA จุดเดือด จุดหลอมเหลวต่ำ เนื่องจากมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลที่มีค่าต่ำมาก

7. เลขออกซิเดชัน (Oxidation Number)

เลขออกซิเดชัน คือ เลขที่แสดงถึงค่าประจุไฟฟ้าหรือประจุไฟฟ้าสมมติของไอออนหรืออะตอมของธาตุ

ธาตุแต่ละชนิดมีเลขออกซิเดชันเป็นเท่าไหร่ให้เป็นไปตามเกณฑ์ดังนี้

ตัวอย่างเลขออกซิเดชันของธาตุ

ตัวอย่างการหาค่าเลขออกซิเดชันครับ (ตาม Link เลยครับ)

Link: ตัวอย่างวิธีคิดเลขออกซิเดชัน

Link: ตัวอย่างไอออนลบที่ควรทราบ (อ้างอิงจาก: ChemistryKruBoy)

เป็นอย่างไรบ้างครับนักเรียน ครูหวังว่านักเรียนคงจะได้ความรู้ไปเยอะแยะเลยทีเดียว หากนักเรียนยังอยากได้ความรู้เพิ่มเติมอีก สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก Reference ดังนี้ หรือสามารถสืบค้นจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ ก็ได้ครับ

Molecular orbital Theory (ทฤษฎีออร์บิทัลเชิงโมเลกุล)

Molecular Orbital Theory

ทฤษฎีออร์บิทัลโมเลกุลเป็นทฤษฎีที่ใช้อธิบายว่าทั้งโมเลกุลและอะตอม ต่างก็มีออร์บิทัลซึ่งเป็นที่ที่อิเล็กตรอนสามารถเข้ามาอยู่ได้ โดยแต่ละออร์บิทัลมีพลังงานต่างกันไป หลักการสำคัญของทฤษฎีออร์บิทัลโมเลกุลจะมองว่าอิเล็กตรอนในออร์บิทัลโมเลกุลไม่ได้อยู่ประจำที่ ( delocalized electrons ) แต่สามารถเคลื่อนที่ไปได้ทั่วทั้งโมเลกุล ทฤษฎีออร์บิทัลโมเลกุล อธิบายการเกิดพันธะในโมเลกุลว่าเป็นผลมาจากการรวมตัวของออร์บิทัลอะตอมของอะตอมต่างๆ เป็นออร์บิทัลโมเลกุล ซึ่งเป็นการรวมเชิงเส้นตรง ออร์บิทัลในโมเลกุลที่เกิดขึ้นจะมีจำนวนเท่ากับออร์บิทัลอะตอมต่างๆ รวมกัน ดังนั้นอิเล็กตรอนที่มีอยู่ในอะตอมจะเป็นอิเล็กตรอนของโมเลกุลและจัดเรียงอิเล็กตรอนใหม่บรรจุในออร์บิทัลโมเลกุลนั้น

Screenshot (147)Screenshot (148)Screenshot (149)Screenshot (150)Screenshot (151)Screenshot (152)Screenshot (153)Screenshot (154)Screenshot (155)Screenshot (156)Screenshot (157)
หลักการกระจายของอิเล็กตรอนในออร์บิทัลเชิงโมเลกุล
  • ใช้หลักการคล้ายกับการบรรจุอิเล็กตรอนในอะตอม
  • ในแต่ละออร์บิทัลเชิงโมเลกุลมีอิเล็กตรอนได้ไม่เกิน 2 อิเล็กตรอน ซึ่งต้องมีสปินต่างกัน
  • เขียนอิเล็กตรอนใส่ในออร์บิทัลที่มีพลังงานต่ำสุดที่ยังว่างอยู่ก่อน
  • การบรรจุอิเล็กตรอนในออร์บิทัลที่มีระดับพลังงานเท่ากัน (degenerate orbital) จะใช้กฎของฮุนด์ (Hund’s rule) นั่นคือ จะบรรจุอิเล็กตรอนตัวเดียวให้ครบทุกออร์บิทัลก่อน นั่นคือทำให้มีอิเล็กตรอนเดี่ยวและสปินในทิศทางเดียวกันมากที่สุด (สปินขึ้น)
  • จำนวนอิเล็กตรอนใน MO เท่ากับผลรวมจำนวนอิเล็กตรอนที่มาจากอะตอมที่สร้างพันธะหรือออร์บิทัลเชิงอะตอม (AO)  คลิปวิดีโออธิบายการเกิด Mo

Covalent bond พันธะโคเวเลนต์

พันธะ มากจากคำว่า Bond ซึ่งหมายถึง แรงยึดเหนี่ยว ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมด้วยกัน และยังรวมถึงแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลด้วยกันให้เป็นกลุ่มก้อน ดังนั้น เราจึงสามารถแบ่งแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคของสารทางเคมีออกเป็น 2 ประเภท คือ

  1. แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอม (ภายในโมเลกุล) ได้แก่ พันธะไอออนิก พันธะโคเวเลนต์ และ พันธะโลหะ
  2. แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ได้แก่ พันธะไฮโดรเจน และแรงแวนเดอร์วาลส์

โพสนี้ครูจะเน้นไปที่พันธะเคมีที่เป็นแรงยึดเหนี่ยวภายในโมเลกุล ซึ่งประกอบด้วย พันธะไอออนิก พันธะโคเวเลนต์ และ พันธะโลหะ มาทำความรู้จักกับพันธะแต่ละชนิดกันเลยครับ

พันธะตัวแรกของเราได้แก่

พันธะไอออนิก (IONIC BOND)

เป็นพันธะที่เกิดจากแรงกระทำระหว่างอะตอม 2 อะตอมที่มีประจุต่างกัน โดยจะเกิดการแลกเปลี่ยนอิเล็กตรอน ทำให้เกิดแรงดึงดูดทางไฟฟ้าสถิตระหว่างประจุที่ต่างกัน พันธะไอออนิกจะเกิดระหว่างโลหะรวมตัวกับอโลหะ และเกิดขึ้นระหว่างธาตุที่มีค่า EN ต่างกันมาก

2ionic

ตัวอย่างการเกิดพันธะไอออนิก

เราจะมาทำความรู้จักกับพันธะไอออนิกมากขึ้นหลังจากเรียนพันธะโคเวเลนต์จบแล้วครับ

พันธะโลหะ (METALLIC BOND)

คือ แรงดึงดูดระหว่างไอออนบวกกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่รอบๆก้อนโลหะ เกิดจากอะตอมของโลหะใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน เวเลนซ์อิเล็กตรอนสามารถเคลื่อนที่ไปทุกอะตอมได้ทั่งทั้งก้อนโลหะ

fba2965c626a450042effd6174b49257d3b3a69f

ตัวอย่างการเกิดพันธะโลหะ

เราจะมาทำความรู้จักกับพันธะไอออนิกมากขึ้นหลังจากเรียนพันธะไอออนิกจบแล้วครับ

พันธะโคเวเลนต์ (COVALENT BOND)

คือ พันธะที่เกิดจากการที่อะตอมใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันเป็นคู่ๆ เพื่อให้เวเลนซ์อิเล็กตรอนครบแปดตัวตามกฎออกเตต (Octet rule)

covalent_bonding

ตัวอย่างการเกิดพันธะโคเวเลนต์

การเกิดพันธะโคเวเลนต์

          นิวเคลียสของอะตอมทั้งสองจะต้องเข้ามาอยู่ใกล้กันในระยะที่เหมาะสม เพื่อทำให้แรงดึงดูดทั้งหมดของระบบเท่ากับแรงผลักทำให้อยู่ในภาวะสมดุลกัน รวมทั้งมีการใช้อิเล็กตรอนร่วมกันเกิดเป็นโมเลกุล เรียกว่า เกิดพันธะโคเวเลนต์

ตัวอย่างการเกิดโมเลกุลของไฮโดรเจน

C9F11

นักเรียนคงจะสงสัยว่ากฎออกเตตคืออะไร มาดูกันเลย ^ ^
กฎออกเตต (OCTET RULE)

The octet rule – อะตอมใดๆ มีแนวโน้มที่จะสร้างพันธะจำนวนหนึ่งเพื่อให้อะตอมมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบแปดตัว อะตอมที่มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบแปดตัว มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเหมือนแก๊สเฉื่อยในหมู่ 8A จะมีความเสถียรมาก (ยกเว้น H และ He ตามกฎออกเตตจะมีวาเลนซ์อิเล็กตรอนครบสอง)

ข้อยกเว้นของกฎออกเตต

โมเลกุลโคเวเลนต์ จะมีการจัดเรียงอิเล็กตรอน เป็นไปตามกฎออกเตต ซึ่งทำให้สารประกอบอยู่ในสภาพที่เสถียร แต่อย่างไรก็ตามพบว่าสารประกอบบางชนิดมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนไม่เป็นไปตามกฎออกเตต จัดเป็นข้อยกเว้นสำหรับกฎออกเตต

(ก) พวกที่ไม่ครบออกเตต ได้แก่สารประกอบของธาตุในคาบที่ 2 ของตารางธาตุ เช่น Be, B  สามารถสร้างพันธะแล้วทำให้อิเล็กตรอนน้อยกว่าแปด เช่น  BF3  BCl3  BeCl2 และ BeF2  เป็นต้น

(ข) พวกที่เกินออกเตต ได้แก่ สารประกอบของธาตุที่อยู่ในคาบที่ 3 ของตารางธาตุเป็นต้นไป สามารถสร้างพันธะแล้วทำให้อิเล็กตรอนเกินแปด เช่น PCl5 SF6 เป็นต้น

ลักษะการเกิดพันธะโคเวเลนต์
  1. การสร้างพันธะระหว่างอะตอมชนิดเดียวกัน เกิดเป็นโมเลกุลของธาตุ เช่น H2, O2, O3, S8
  2. การสร้างพันธะระหว่างอะตอมต่างชนิดกัน เกิดเป็นโมเลกุลของสารประกอบ เช่น HCl, H2O, NH3
  • อิเล็กตรอนที่ใชในการเกิดพันธะ 1 พันธะ (2e) เรียกว่า  อิเล็กตรอนคูพันธะ (bonded pair)
  • คูอิเล็กตรอน (2e) ที่ไมไดใชในการเกิดพันธะ เรียกว่า อิเล็กตรอนคูโดดเดี่ยว (lone pair)
  • อิเล็กตรอนที่ไม่มีคู่ เรียกว่า อิเล็กตรอนเดี่ยว (single electron)
ลักษณะสำคัญของพันธะโคเวเลนต์

ส่วนมากเป็นธาตุอโลหะกับอโลหะเนื่องจากธาตุอโลหะมีพลังงานไอออไนเซซันค่อนข้างสูง จึงเสียอิเล็กตรอนได้ยาก มีแต่ใช้อิเล็กตรอนร่วมกันเกิดเป็นพันธะโคเวเลนต์

  1. เป็นพันธะที่เกิดจากอะตอมของธาตุที่มีค่า EN สูงยึดกับ EN สูงด้วยกัน
  2. เป็นพันธะที่เกิดจากอะตอมของ

อโลหะกับอโลหะ   เช่น CO2    NH3

กึ่งโลหะกับอโลหะ  เช่น  SiO2  GeCl4

ชนิดของพันธะโคเวเลนต์

พิจารณาจากจำนวนอิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกันของอะตอมคู่ร่วมพันธะ ดังนี้

พันธะเดี่ยว (SINGLE BOND)

เกิดจากอะตอมคู่สร้างพันธะทั้งสอง ใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่ ใช้เส้นตรง 1 เส้น แทนพันธะเดี่ยว

พันธะคู่ (DOUBLE BOND)

          เกิดจากอะตอมคู่สร้างพันธะทั้งสอง ใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่ ใช้เส้นตรง 2 เส้น แทนพันธะคู่

พันธะสาม (TRIPLE BOND)

          เกิดจากอะตอมคู่สร้างพันธะทั้งสอง ใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 3 คู่ ใช้เส้นตรง 3 เส้น แทนพันธะสาม

 ตัวอย่าง ชนิดของพันธะโคเวเลนต์ โดยพิจารณาจากจำนวนอิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกันของอะตอมคู่ร่วมพันธะ

Bonds

พันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์ (CO-ORDINATE  COVALENT  BOND)

          คือ พันธะโคเวเลนต์ที่เกิดขึ้นโดยอะตอมหนึ่งเป็นตัวให้คู่อิเล็กตรอนเพื่อเกิดพันธะ ซึ่งมักเกิดกับโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวเหลือ และเมื่อใช้ไปแล้วก็มีจำนวนอิเล็กตรอนวงนอกไม่เกิน 8

ตัวอย่างเช่น แอมโมเนียมไออน (NH4+)  ซึ่งเกิดจาก   H+  + NH3  ได้ผลิตภัณฑ์เปฺ็น NH4+ โดย N เป็นฝ่ายให้คู่อิเล็กตรอนกับ H ในการสร้างพันธะ ดังรูป

coordinate covalent bonding

การเขียนสูตรโครงสร้างโมเลกุลโควาเลนต์
  • สูตรโครงสร้างแบบจุด (ELECTRON-DOT STRUCTURE)

หรือเรียกว่าโครงสร้างลิวอิส (Lewis  structure)  เป็นการสร้างพันธะโดยการนำเอาเวเลนซ์อิเล็กตรอนมาใช้ร่วมกัน  การให้หรือ/และรับอิเล็กตรอนของอะตอมทั้งสองอะตอมให้เป็นไปตาม   “กฎออกเตต (octet  rule)”  โดยแสดงเวเลนซ์อิเล็กตรอนเป็นจุด

  • สูตรโครงสร้างแบบเส้น (GRAPHIC STRUCTURE)
    • ใช้เส้นตรง 1 เส้น ( — ) แทนอิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกัน 1 คู่
    • ใช้เส้นตรง 2 เส้น ( = ) แทนอิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกัน  2  คู่
    • ใช้เส้นตรง 3 เส้น แทนอิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกัน 3 คู่
    • ให้เขียนไว้ในระหว่างสัญลักษณ์ของธาตุคู่ร่วมพันธะ
    • อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวที่เหลืออาจเขียนโดยใช้จุดแทน หรือไม่เขียนเลยก็ได้
วิธีเขียนสูตรโครงสร้าง
  • เขียนอะตอมทั้งหมดที่เกิดพันธะกันให้อยู่ใกล้กัน กรณีที่มีอะตอม 3 ตัว  อะตอมที่จะต้องอยู่ตำแหน่งกลาง  คือ อะตอมที่มีค่า EN ต่ำ
  • หาจำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนทั้งหมด นำอิเล็กตรอนที่มีอยู่ไปเขียนรอบอะตอมต่างๆ โดยใช้จุดแทนเวเลนซ์อิเล็กตรอนรอบอะตอมเป็นคู่ ๆ โดยจัดให้แต่ละอะตอม มีจำนวนอิเล็กตรอนล้อมรอบครบ 8 ตัว (ยกเว้น H=2, Be=4, B=6)
    • ไอออนลบ: เพิ่มจำนวนอิเล็กตรอนเท่ากับจำนวนประจุลบของไอออน
    • ไอออนบวก: ลบจำนวนอิเล็กตรอนเท่ากับจำนวนประจุบวกของไอออน
  • เชื่อมอะตอมด้วยพันธะเดี่ยว โดยใช้ 2 อิเล็กตรอนในการสร้างพันธะเดี่ยวแต่ละพันธะ
  • ในกรณีที่ใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนจนหมดแล้วแต่อะตอมยังไม่ครบ 8 ตัว อาจต้องมีพันธะคู่ หรือพันธะสามเกิดขึ้นด้วย
ตัวอย่างการเขียนสูตรโครงสร้างแบบจุดและแบบเส้น

b

lewis-dot-structure

 เรโซแนนซ์ (RESONANCE)

          หมายถึง การใช้สูตรโครงสร้างแบบจุดของลิวอิสตั้งแต่ 2 โครงสร้างขึ้นไปแทนโมเลกุลใดโมเลกุลหนึ่งโดย โครงสร้างเรโซแนนซ์ (Resonance structure) คือ สูตรโครงสร้างของสารที่สามารถเขียนได้มากกว่า  1  แบบ ซึ่งแต่ละสูตรที่เขียนขึ้นมาจะไม่สอดคล้องกับสูตรโครงสร้างที่แท้จริง การจะเป็นโครงสร้างเรโซแนนซ์ได้สารต้องมีการจัดเรียงตัวของอะตอมเหมือนกัน ต่างเพียงการกระจายอิเล็กตรอนในพันธะเท่านั้น

resonance_str03

ตัวอย่างการเกิดเรโซแนนซ์ของคาร์บอเนตไอออน

หลักในการตัดสินว่าโครงสร้างเรโซแนนซ์ แบบใด ควรเป็นไปได้มากที่สุดมีหลักในการตัดสินดังนี้คือ
  1. มีประจุฟอร์มาลต่ำสุด
  2. อะตอมที่มี En สูงกว่ามักมีประจุฟอร์มาลเป็นลบ เนื่องจากมีความสามารถดึงดูดอิเล็กตรอนมากกว่า (แต่ไม่เสมอไป)
  3. อะตอมชนิดเดียวกันจะไม่มีประจุฟอร์มาลที่มีเครื่องหมายตรงข้าม (มีเครื่องหมายตรงข้ามได้ แต่ความน่าจะเป็นสำหรับโครงสร้างนั้นๆ จะลดลง)
  4. เป็นไปตามกฎออกเตตมากที่สุด
ประจุฟอร์มาลคืออะไร
ประจุฟอร์มาล (FORMAL CHARGE)

          เป็นประจุไฟฟ้าสมมติที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้ทำนายว่าโครงสร้างโมเลกุลแบบใดมีความเป็นไปได้มากกว่ากัน (เนื่องจากโครงสร้างที่เกิดเรโซแนนซ์ ทำให้สารชนิดเดียวกันมีโครงสร้างได้หลายแบบ ดังนั้น โครงสร้างแบบใดจะเป็นไปได้มากที่สุดจะดูที่ประจุฟอร์มาล)

การคำนวณประจุฟอร์มาลบนอะตอมหนึ่งๆ ทำได้ดังนี้

ประจุฟอร์มาล    =   V – N – 1/2B

เมื่อ   V = จำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนของอะตอมที่สนใจ

N = จำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนที่ไม่สร้างพันธะ (non-bonding electron)

B = จำนวนอิเล็กตรอนทั้งหมดในพันธะรอบอะตอมนั้น

หรือ

ประจุฟอร์มาล    =   V – N – B

เมื่อ   V = จำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนของอะตอมที่สนใจ

N = จำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนที่ไม่สร้างพันธะ (non-bonding electron)

B = จำนวนพันธะทั้งหมดรอบอะตอมนั้น

**หมายเหตุ: ทั้งสองสูตร ตัวแปร “B” ใช้ต่างกันนะครับ เวลาคำนวณให้เลือกใช้สูตรใดสูตรหนึ่งตามที่ตนเองถนัด อย่าเอามาปนกันนะครับ

นักเรียนสามารถศึกษาเพิ่มได้จาก Link นี้ครับ :

ตัวอย่างการคำนวณหาประจุฟอร์มาล

การเขียนสูตรโมเลกุลของสารประกอบโคเวเลนต์
  1. เรียงลำดับธาตุให้ถูกต้องตามหลักสากล ดังนี้คือ Si , C , Sb , As , P , N , H , Te , Se , S , At , I , Br , Cl , O , F ตามลำดับ
  2. ถ้าจำนวนอะตอมของธาตุมากกว่าหนึ่ง ให้เขียนจำนวนอะตอมด้วยตัวเลขแสดงไว้มุมล่างขวา (อะตอมเดียวไม่ต้องเขียน)
  3. หลักการเขียนสูตรสารประกอบโคเวเลนต์ ใช้จำนวนอิเล็กตรอนที่แต่ละอะตอมของธาตุที่ต้องการตามกฎออกเตตคูณไขว้
การเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์
  1. อ่านชื่อธาตุข้างหน้าก่อน แล้วตามด้วยธาตุที่อยู่ข้างหลังเปลี่ยนพยางค์ท้ายเป็น – ide

ตัวอย่างการอ่านธาตุที่อยู่หลัง เช่น

Cl  ให้เรียก  คลอไรด์      O  เรียก  ออกไซด์

N   ให้เรียก ไนไตรด์       F เรียก   ฟลูออไรด์

C    ให้เรียก คาร์ไบด์     Br เรียก โบร์ไมด์

S     ให้เรียก ซัลไฟด์      P   เรียก ฟอสไฟด์

  1. ระบุจำนวนอะตอมของธาตุด้วยตัวเลขในภาษากรีก ดังนี้

1 = มอนอ        2 = ได

3 = ไตร           4 = เตตระ

5 = เพนตะ       6 = เฮกซะ

7 = เฮปตะ       8 = ออกตะ

9 = โนนะ         10 = เดคะ

  1. ถ้าธาตุแรกมีอะตอมเดียวไม่ต้องระบุจำนวนอะตอมแต่ธาตุข้างหลังต้องระบุจำนวนอะตอมเสมอแม้มีเพียงอะตอมเดียว (ระบุโดยใช้ภาษากรีก)
ตัวอย่างการอ่านสื่อสารประกอบโคเวเลนต์

CO      อ่านว่า  คาร์บอนมอนอออกไซด์   หรือ คาร์บอนมอนอกไซด์

CO2     อ่านว่า  คาร์บอนไดออกไซด์

NO      อ่านว่า  ไนโตรเจนมอนอออกไซด์ หรือ ไนโตรเจนมอนอกไซด์

N2O     อ่านว่า  ไดไนโตรเจนมอนอออกไซด์ หรือ ไดไนโตรเจนมอนอกไซด์

N2O3   อ่านว่า  ไดไนโตรเจนไตรออกไซด์

N2O5   อ่านว่า  ไดไนโตรเจนเพนตะออกไซด์

ก็จบไปแล้วกับสรุปเนื้อหาพันธะโคเวเลนต์ใน Week นี้ครับ อีกอย่าง Midterm ใกล้เข้ามาแล้ว ครูก็ขอให้นักเรียนตั้งใจอ่านหนังสือให้มากๆ นะครับ